Genes Tech Group ประกาศผลการดําเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566

รายได้รวมเท่ากับประมาณ 1,107.85 ล้านเหรียญไทย

รายได้จากการแก้ปัญหาครบวงจรเพิ่มขึ้นประมาณ 9% เป็นประมาณ 608.24 ล้านเหรียญไทย

กําไรต่อหุ้นพื้นฐานเท่ากับ 8.35 เซนต์

สรุปผลการดําเนินงานไตรมาส 3

  • รายได้รวมเท่ากับประมาณ 1,107.85 ล้านเหรียญไทย
  • รายได้สุทธิสําหรับรอบระยะเวลานั้นที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทเท่ากับประมาณ 77.16 ล้านเหรียญไทย
  • รายได้จากการแก้ปัญหาครบวงจรเพิ่มขึ้นประมาณ 9% เป็นประมาณ 608.24 ล้านเหรียญไทย
  • กําไรต่อหุ้นพื้นฐานเท่ากับ 8.35 เซนต์

ฮ่องกง, วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 — Genes Tech Group Holdings Co. Ltd (“Genes Tech Group” หรือ “กลุ่มบริษัท”, รหัสหุ้น: 8257.HK) ประกาศผลการดําเนินงานไตรมาส 3 สําหรับ 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 (“ระหว่างรอบระยะเวลานั้น”) ระหว่างรอบระยะเวลานั้น กลุ่มบริษัทมีรายได้รวมประมาณ 1,107.85 ล้านเหรียญไทย รายได้สุทธิสําหรับรอบระยะเวลานั้นที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทเท่ากับประมาณ 77.16 ล้านเหรียญไทย กําไรต่อหุ้นพื้นฐานเท่ากับ 8.35 เซนต์.

ระหว่างรอบระยะเวลานั้น รายได้จากการแก้ปัญหาครบวงจรเท่ากับประมาณ 608.24 ล้านเหรียญไทย, ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณ 9% เมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นประมาณ 54.9% ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัท รายได้จากการค้าอุปกรณ์ SME และส่วนประกอบที่ใช้แล้วเท่ากับประมาณ 499.61 ล้านเหรียญไทย คิดเป็นประมาณ 45.1% ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัท ระหว่างรอบระยะเวลาที่ทบทวน รายได้จากธุรกิจในประเทศไทยคิดเป็นประมาณ 55.12% ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัท

ตามข้อมูลจาก World Semiconductor Trade Statistics (WSTS) ตลาดชิปกําลังเติบโตขึ้น 4.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนในไตรมาสสองของปี 2566 ซึ่งจะเป็นไตรมาสแรกที่มีการเติบโตรายไตรมาสบวกตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2564 ตลาดชิปได้ชะลอตัวลงตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2564 หลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2563 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สาเหตุหลักมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการในตลาดปลายทางชิปบริโภคเช่นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและสมาร์ทโฟนอ่อนแอลง สถาบันวิจัยคาดการณ์ว่าตลาดชิปจะลดลงตลอดทั้งปี 2566 โดย Future Horizons คาดการณ์ว่าจะลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ Tech Insights คาดการณ์ว่าจะลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วน Semiconductor Intelligence คาดการณ์ว่าจะลดลง 13% ตามสถาบันวิจัยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (IEK) ในประเทศไทย สถานะปัจจุบันของอุตสาหกรรมชิปในประเทศไทยมีดังนี้ มูลค่าการผลิตรวมของอุตสาหกรรมชิปในประเทศไทยอยู่ที่ 1,015.0 พันล้านบาทในไตรมาสสองของปี 2566 เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และลดลง 18% เมื่อเทียบปีต่อปี IEK คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมชิปจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี มูลค่าการผลิตของอุตสาหกรรมชิปในประเทศไทยในปี 2566 จะอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ลดลง 12.1% ต่อปี

นาย หยาง หมิง-เสียง ประธานและซีอีโอ สรุปว่า “อุตสาหกรรมชิปของโลกต้องเผชิญกับการป